ตำนานอเมริกันอินเดียน (3)

tumblr_nelyr5htEO1ryf6suo1_1280

ACOMA EMERGENCE AND MIGRATION การขึ้นมาสู่โลกและการอพยพของ อะโคม่า
Acoma Pueblo
Acoma Pueblo เป็น 1 ใน 7 กลุ่มชนอินเดียนแดงที่พูดภาษาเคเรส (Keres) กลุ่มชนอินเดียนแดงที่ใช้ภาษานี้ คือ โคชิติ (Cóchiti), ลากูน่า (Laguna), ซาน ฟิลิปเป้ (San Felipe), ซานตา อานนา (Santa Ana), ซานตา โดมิงโก (Santo Domingo), และ เซีย (Zia)
เรื่องการสร้างโลกของ อะโคม่า กล่าวว่า เริ่มแรก มนุษย์อาศัยอยู่ในความมืดในห้อง 4 ห้อง ใต้พื้นโลก สองนักรบฝาแผด มาซีวา และ อูยูเยวา (Masewa และ Uyuyewa บุตรแห่ง ไอติกู (Iatiku) ผู้เป็นมารดาแห่งชนเผ่าอินเดียนแดง ได้นำผู้คนออกจากใต้โลกสู่แสงสว่างที่ Shipap มนุษย์ตอนนั้นอ่อนแอ และบอบบาง ตาไม่สามรถลืมขึ้นได้ ไอติกู พาพวกเขาไปทางตะวันออก และเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ตาของพวกเขาก็เปิดขึ้นและแข็งแรงขึ้น
ไอติกู บอกวิธีให้พวกเขาอาหารเพื่อดำรงชีพและบอกว่าดวงวิญาณที่มีพลังมาก คาชินาส์ (Kachinas) กำลังจะมาถึงในไม่ช้า มาซีวา และ อูยูเยวา ได้สอนให้ผู้คนบูชา คาชินาส์ ด้วยอาหารและท่อนไม้สำหรับสวดขอพร และเป็นจุดเริ่มของเทศกาลเฉลิมฉลอง มีการตบแต่งท่อนไม้ด้วยขนนกและหอย เมื่อคาชินาส์มา พวกเขาให้มอบของให้อันมี เสื้อผ้า เครื่องมือ คันธนูและศร และเครื่องดินเผา จากนั้นก็มีการเต้นรำตลอดวัน ผู้คนไม่อยากทำให้สถานที่กำเนิดต้องมัวหมองด้วยการอยู่อาศัยต่อ จึงได้จากไปเพื่อหาที่อยู่ใหม่ มาซีวา ได้พาพวกเขาลงไปทางใต้ และตั้งถิ่นฐานที่ คาซิคัตคูเทีย (Kacikatcutia) แปลว่าบ้านสีขาว และเรียกหา คาชินาส์ คาชินาส์ มาและได้มีการเต้นรำอีก แล้วก็จากไป แต่มีคนนึงทำท่าล้อเลียน ซึ่งการทำล้อเลียนนี้ทำให้ คาชินาส์ โกรธและกลับมาโจมตีหมู่บ้านในวันถัดมา ผู้คนตายเกือบหมด ผู้ส่งสารได้บอกผู้รอดชีวิตว่า คาชินาส์จะไม่มาอีกแล้ว จนกว่าผู้คนจะแต่งกายเหมือนคาชินาส์และสวดขอพรอย่างที่สอนให้ไป ผู้คนที่เหลือได้ทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะอ้างสิทธิ์ที่จะเป็นตัวแทน คาชินาส์ ทำให้บางส่วนของพวกเขาแตกกลุ่มออกไปเพื่อจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก ไอติกู จึงได้มอบภาษาต่างๆให้พวกเขาใช้พูด มาซีวา นำกลุ่มหนึ่งไปถึง อะโคม่า และก่อตั้งเผ่า อะโคม่า ขึ้น เมื่อผู้คนเรียกหา คาชินาส์ ผู้แทนจะมาเต้นรำในลาน และผู้คนก็จะขอให้ฝนตก และได้รับพรนั้นในที่สุด

Adlet แอทเล็ท – อินนูอิท
ปีศาจกินเลือด 5 ตนที่เกิดจากหญิง Inuit ที่แต่งงานกับสุนัข
หญิงสาวคนหนึ่งได้ปฏิเสธผู้ที่มาสู่ขอเธอไปมากมายหลายคน จนในที่สุดก็สุดจะทนและบอกเธอว่า หากไม่มีคนถูกใจ ก็ควรแต่งงานกับสุนัขเสีย ในวันรุ่งขึ้น มีชายคนใหม่มาสู่ขอเธอ เขาสวมสร้อยที่ทำจากกรงเล็บสุนัข เธอตกลงจะไปกับชายคนนี้และได้ไปอยู่กินกันบนเกาะใกล้ๆ ต่อมาเธอเริ่มสงสัยว่าสามีเธอน่าจะเป็นสุนัขที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ และข้อสงสัยของเธอก็เผยออกมาเมื่อเธอให้กำเนิดลูกออกมาคราวเดียวเป็นสุนัข 5 ตัว และเด็ก 5 คน บางแบบของเรื่องเล่านี้ มีว่า เด็กที่เกิดมานั้น กาลต่อไปได้กลายเป็น Adlet หญิงสาวได้เอาลูกสุนัขลงไว้ในเรือและปล่อยให้ลอยไปแต่ก็ได้กลายมาเป็นบรรพบุรุษของคนขาวในที่สุด อีกเรื่องนึงเล่าว่า สามีสุนัขของเธอ ว่ายน้ำมาขออาหารที่บ้านของพ่อตาทุกวัน เพราะเมื่ออยู่อยู่ในร่างสุนัข เขาจะออกล่าสัตว์ไม่ได้ จนพ่อตาทนเหนื่อยที่จะให้อาหารแก่ครอบครัวลูกสาวไม่ไหว เขาจึงเอาหินใส่ไปกับเนื้อในกระเป๋าที่ให้สุนัข ด้วยน้ำหนักที่มากจึงทำให้สุนัขจมน้ำทะเลไป ต่อมา เขาได้ไปหาลูกสาว ซึ่งเธอให้ลูกๆทำร้ายเขาจนตาย เมื่อไม่รู้จะหาอาหารให้ทั้ง 10 ชีวิตอย่างไร เธอจึงหาวิธีปกป้องลูกของเธอโดยดัดแปลงบู๊ตของเธอเป็นเรือและลอยทั้ง 10 ชีวิตสู่ทะเล ซึ่งต่อมาได้เป็นบรรพบุรุษของอินเดียนแดงและคนขาว

Adlivun (Qudlivun) แอดลิวุน (คุดลิวุน) – อินนูอิท

โลกหลังความตาย ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง เซ็ดน่า เทพเจ้าผู้ทรงพลัง ผู้ซึ่งดูแลปีศาจแห่งทะเล จะถูกส่งไปที่ แอดลิวุนเมื่อเขาตาย แอดลิวุน แปลว่า ผู้ซึ่งอยู่ข้างล่างเรา โดยมี อันกุต้า (Anguta) เป็นผู้นำวิญญาณไปสู่ แอดลิวุน

Ahayuta and Matsilema (Ahaiyuta and Matsailema) – ซุนนี
อะฮายุตา และ แม็ตสิเลมา สองนักรบฝาแฝดชาว ซุนนี บุตรแห่งพระอาทิตย์ ถูกสร้างขึ้นเมื่อแสงอาทิตย์ส่องกระทบฟองอากาศของสายน้ำตก อะฮายุตา ได้นำพาผู้คนกลุ่มแรกมาสู่โลก (ดู กำเนิดและการอพยพของชาว ซุนนี – ZUNI EMERGENCE AND MIGRATION)

เรื่องเกี่ยวกับ อะฮายุตา ผู้ซึ่งมีองค์ประกอบมากมายกับเรื่องเล่าของนักรบฝาแฝด เช่นการผจญภัยไปหาพระอาทิตย์ซึ่งคือพ่อของพวกเขา เพื่อที่จะมีพลังวิเศษ ทำให้เกิดฝนตก ปราบปีศาจ ทำให้โลกปลอดภัยสำหรับมนุษย์ ปีศาจตนหนึ่งที่ฝาแฝดได้ปราบลงคือ ปีศาจกลืนเมฆ ปีศาจกลืนเมฆเป็นยักษ์ซึ่งมีฤทธิ์มาก จะยืนคร่อมทางข้ามเป็นสะพานโค้งและคอยเชื้อเชิญด้วยคำพูดหวานหูให้ผู้คนเดินบนขาของตนข้ามไป จากนั้นก็คว้าเอาตัวคนข้ามมากิน
ย่าแมงมุม (นางแมงมุม) ได้เสนอเข้าช่วยอะฮายุตาในการปราบปีศาจตนนี้ เมื่อปีศาจกลืนเมฆหลับนางแมงมุมก็เอาใยแมงมุมพันรอบศรีษะทำให้ปีศาจกลืนเมฆมองไม่เห็นและไม่สามารถจับตัวสองฝาแฝดได้ ปีศาจกลืนเมฆก็ถูกปราบลงได้อย่างง่ายดาย
อีกตำนานเล่าถึง วิธีที่ อะฮายุตา สามารถทำให้ฝนตกได้ โดยขโมยเครื่องมือทำฝน-หินฟ้าร้อง แผ่นทำสายฟ้า และลูกศรจาก ไซยาทเลีย (Saiyathlia) นักรบแห่งคาชินา อะฮายุตาแอบเริ่มทำการเฉลิมฉลองให้กับนักรบคนหนุ่มรุ่นใหม่ แต่พวกเขาก็ถูกฆ่าในระหว่างการเฉลิมฉลอง ไซยาทเลียตัดแขนและของทั้งสองฝาแฝดแล้วปรุงเป็นอาหารให้เหล่านักรบใหม่กิน แต่เสียงของสองนักรบฝาแฝดยังคงอยู่และคอยพูดส่อเสียดไซยาทเลีย จนเมื่อไซยาทเลียจาม สองฝาแฝดก็เริ่มมีจมูกออกมาใหม่และคืนร่างได้ในที่สุดและปราบไซยาทเลียรวมทั้งยึดเครื่องมือทำฝนมาครองได้ อีกตำนานเล่าว่าเมื่อสาวโสดที่ปลูกข้าวโพดได้หนีไปพร้อมกับข้าวโพดทั้งหมด อะฮายุตาได้ร่วมเข้าในการตามหาเธอด้วย สองฝาแฝดได้สร้างทางช้างเผือกขึ้นสำหรับเป็นทางข้ามไปรอบโลกตลอดการค้นหานี้

Akbaatatdia อัคบาทัดเดีย (ผู้สร้างทุกสิ่ง) – โคร์ว
ผู้สร้างโลก คือผู้ที่ดูแลทุกอย่างของธรรมชาติ อัคบาทัดเดีย เป็นชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกจากอีกหลายๆชื่อด้วยกัน จากที่มีคำเรียกว่า อิซากา (Isaahka) แปลว่า ผู้เฒ่า, อิชากาวูอัทคี (Isaahkawuattee) แปลว่า ผู้เฒ่าโคโยต, บาคัคคูลี (Baakukule) ผู้อยู่เบื้องบน, และ ลิชิกบาอาลี (Lichikbaaalee) ผู้เริ่มทุกสิ่ง

Akhlut อัคลุด – ยุพอิค
ปลาวาฬเพชรฆาตที่แปลงร่างเป็นหมาป่าขึ้นไปบนแผ่นดินแล้วฆ่าผู้คนและสัตว์ต่างๆ

Amala อะมาลา – ซิมเชียน
เมื่อโลกได้ถูกสร้างขึ้น ตามตำนานเล่าว่า ขั้วโลกมี อะมาลา เป็นผู้ถืออยู่และวางไว้บนหลังของเขา ความแข็งแกร่งของ อะมาลา มาจากน้ำมันของเป็ดป่าที่ชะโลมลงบนหลังของเขา หากมันเหือดแห้งลง อะมาลาจะตาย และโลกก็จะพบจุดจบ

Amchitapuka อัมชิทาพูคา (มนุษย์คนแรกบนโลก) – ยาวาปาอิ

ฮีโร่ในตำนานของ ยาวาปาอิ (Yavpai) ทางตะวันออกเฉียงใต้ – บุตรแห่งดวงอาทิตย์
และเป็นหลานของแม่ผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง วิดาโปกวี (Widapokwi) เพียงครู่เดียวหลังจากที่ อัมชิทาพูคา ถือกำเนิด พญานกอินทรีย์ยักษ์ได้จับตัวแม่ของเขาไปเป็นอาหารแก่ลูกนก เมื่ออัมชิทาพูคาเป็นวัยรุ่นเขาก็รู้ว่าแม่ตายยังไง เพื่อที่จะชำระแค้น เขาจึงหาทางให้พญานกอินทรีย์ยักษ์จับตัวเขาไปเช่นกัน พญานกอินทรีย์ยักษ์ปล่อยเขาลงในรัง ด้วยอำนาจวิเศษของหินสีฟ้าที่พ่อของเขาให้มา ทำให้เขาแปลงกายเป็นนกอินทรีย์วัยรุ่นและบอกพวกลูกนกอินทรีย์อื่นๆว่าเขาเป็นพี่ และนี่เป็นเหตุให้นกอินทรีย์ไม่ทำร้ายมนุษย์อีกเลย อัมชิทาพูคาได้เป็นหัวหน้าเผ่าผู้ยิ่งใหญ่ คุณความดีของเขาทำให้ชื่อเขาถูกเรียกเป็นกลุ่มดาว วายาปาอิทางตะวันตกเรียกเขาว่า นยาปาคาอัมตี (Nyapakaamte) แปลว่า บุรุษผู้อยู่เบื้องบน วายาปาอิ-อาปาเช่ เรียกเขาว่า ซาคาราคัมเช่ (Sakarakammche) แปลว่า ผู้ที่เดินทางไปโดยไม่มีจุดหมายอันสูงส่ง
เรื่องของ วายาปาอิ-อาปาเช่ เล่าว่า ซาคาราคัมเช่ เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวและอยากมีภรรยา แต่ผู้เป็นมนุษย์ในโลก มีแต่ย่าของเขาเท่านั้น ขณะที่เขาเอาโคลนพอกแขนเล่น ก็เห็นว่าเขาทำดินโคลนเป็นรูปร่างสตรีขึ้นมา เมื่อเห็นอย่างนั้นเลยปั้นรูปปั้นมนุษย์ เขาคิดว่าหากรูปปั้นมีชีวิตขึ้นมา เขาจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เมื่อเขาหลับลงก็ฝันถึงมนุษย์อื่นๆ พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามี วายาปาอิ-อาปาเช่ มาอยู่ในหุบเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

คุณอาจจะใช้ป้ายกำกับและคุณสมบัติHTML: <a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <strike> <strong>