การชารจของทหารม้าล้มเหลวเพราะมีน้อยกว่าอินเดียน
พวกอินเดียนนั้นเมื่อถูกขอร้องแกมบังคับให้เปลี่ยนวิถีชีวิตมาอยู่ในพื้นที่สงวนสำหรับอินเดียนโดยเฉพาะก็พบว่าตนเองเหมือนนักโทษ มีการบังคับให้เข้าโรงเรียนมาถือคริสต์ ห้ามย้ายค่าย แถมยังต้องหัดเพาะปลูกบนที่ดินกันดาร หลวงว่าจะส่งอาหารมาให้ก่อนในขณะที่พืชผลยังไม่พอกินแต่แล้วก็เปล่า มีการคอรัปชั่นหนักขึ้นเรื่อยๆความนี้รู้ไปถึงท่านนายพลเชอร์แมนจนท่านออกปากสาปแช่งพวกนักการเมืองและพ่อค้าให้ตกนรกหมกไหม้กันทั่วหน้า ไอ้เรื่องเบี้ยวไม่ส่งข้าวปลามาก็พอทนไหว แต่คนขาวยังเบี้ยวไม่หมดเพราะ สัญญาลารามี่ถูกฉีกทิ้งในปี ค.ศ. 1873 (ปีนี้สำคัญครับเพราะทบ. อเมริกันเอาปืนลูกโม่ของโคลท์และปืนยาวสปริงฟิลด์รุ่นใหม่มาใช้พอดี)
ท่านผู้อ่านเชื่อไหมเอ่ยเพราะว่าเมื่อ 100 ปีก่อนก็มีภาวะฟองสบู่แตกเหมือนกัน ลองคิดดูซิครับว่าพ่อเล่นปั่นหุ้นรถไฟจนราคาสูงลิ่ว แล้วก็เอาเงินไปซื้อที่ดินห่วยๆถูกๆไว้บานตะเกียง เมื่อคนยากจนมากจนขายไม่ออกเข้า บริษัทก็ขาดรายได้ หนี้สินที่กู้ธนาคารมาก็เริ่มขาดส่งดอก และพาลไม่คืนต้นเสียด้วย ไอ้ที่เคยทำกำไรสองเด้งสามเด้งก็เริ่มฝืดเคืองราคาหุ้นตกต่ำกลายเป็นเศษกระดาษกันเป็นทิวแถว พวกนายทุนรถไฟเห็นว่าทางออกที่ดีคือหาทางระบายขายที่ดิน ดังนั้นต้องขจัดอินเดียนอันเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้ซื้อตายก่อนผ่อนเงินค่าที่ครบ จึงเข้าล็อบบี้กับนักการเมืองให้รัฐบาลยอมฉีกสัญญาปล่อยคลื่นมนุษย์บุกไป ยื้อแย่งจากคนพื้นเมืองอย่างเสรี
เพื่อเป็นการนำร่อง รัฐบาลจึงได้จัดคณะนักสำรวจขบวนใหญ่บุกเข้าไปที่แบล็คฮิล ในปี ค.ศ. 1874 และให้คัสเตอร์เป็นผู้คุ้มกัน คณะสำรวจนี้ไปอย่างเอิกเกริกมาก มีผู้ร่วมขบวนเกือบ 1 พันคน เกวียนเป็นร้อยเล่ม นอกจากทหาร นักธรณีวิทยา และนักวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ แล้ว ยังมีลูกชายของท่านประธานาธิบดีแกรนท์ ตามไปด้วย แบบลูกอาเสี่ยคือมีคณะนักดนตรีไปร้องรำทำเพลงให้ฟังแถมเมาแอ๋ ทุกวัน (อันนี้ผมไม่ได้แต่งเองแต่พลทหารวินดอล์ฟ แกบันทึกเอาไว้ ถ้าให้ผมเดาคงมีเกวียนพิเศษอีกเล่มขนบรรดาอีหนูๆไปปิกนิคด้วย) ขบวนนักสำรวจไม่ได้ ก่อเรื่องเดือดร้อนมากไปกว่านี้จนกระทั่งเกิดไปค้นพบทองคำกลางหุบเขาที่ผีฟ้าบรรรพบุรุษของพวกอินเดียนฝังไว้ พอข่าวนี้แพร่ออกไปภายใน 2 ปี แบล็คฮิลต้องต้อนรับนักขุดทอง 25,000 คน (นี่ไม่รวมลูกเมียที่กระเตงมาด้วยนะครับ) ส่วนพวกลาโกต้านั้นแม้จะถูกมือดีมาล้วงตับถึงดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยอมอดกลั้นตามนโยบายของท่านผู้เฒ่าเมฆแดง ที่ไม่ต้องการเห็นคนของท่านถูกหาเรื่องฆ่าทิ้งเอาง่ายๆ และย้ายขึ้นเหนือไปอย่างหง่อยๆ เหลืออยู่แต่เจ้าม้าบ้า ที่มาเสียลูกสาวด้วยโรคอหิวาฯ(ของฝากจากฝรั่ง) เลยน็อตหลุด กล่าวกันว่าถ้าเขาหายไปทางแบล็คฮิล เมื่อใดจะต้องมีชาวเหมืองสังเวยคมธนูสัก 1 โหลเมื่อนั้น
รัฐบาลอเมริกันจึงหาทางแก้ปัญหา โดยยื่นข้อเสนอขอซื้อแบล็คฮิล ซึ่งที่จริงน่าจะเป็นการขอเช่าเพราะกล่าวถึงอายุสัญญาไว้ 100 ปี บรรดาหัวหน้าเผ่าก็ลังเลว่าขายดีไหม เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร และที่สำคัญคือเคยโดนเบี้ยวจนออกจะเข็ด ซิทติ้งบุลเรียกร้องให้สู้ และเห็นว่าการยอมหลบแบบของผู้เฒ่าเมฆแดง ไม่ได้ผลดีอะไรเลย
“น่ารังเกียจที่พวกเราจะเป็นทาสคนขาวเพื่อแลกกับอาหาร เมื่อเรายังเด็กชาวลาโกต้าเป็นเจ้าของท้องทุ่งพระอาทิตย์ขึ้นและตกบนถิ่นของเรา นี่อะไรกันจะไปยอมคนขาวที่ไม่รักษาคำพูดกันง่ายๆก็ผิดนักเลงกันละวะ” หัวหน้าซิทติ้งบุล ไม่เพียงแต่จะปฎิเสธแต่ยังออกโจมตีแก้แค้น พวกลาโกต้าจึงเห็นเขาเป็นที่พึ่งทางใจและเห็นว่าสู้กลับไปรบกันดีกว่า
เมื่อตกลงกันดีๆไม่ได้ เชอริแดนจึงออกคำสั่งให้ชาวอินเดียนย้ายเข้าเขตสงวนเป็นเด็ดขาดถ้าไม่ยอมก็ยิงอย่างเดียว คนอเมริกาที่ไม่เห็นเหตุการณ์ก็อ่านข่าวโกหกบน นสพ. แล้วเข้าใจว่าอินเดียนแดงปฎิเสธความเจริญ และคงต้านทานทหารม้าไม่ได้กี่วันหารู้ไม่ว่าคำสั่งดังกล่าวทำให้ อินเดียนนับหมื่นคนจากทุกสารทิศ ย้ายมารวมตัวกันใกล้ๆ ค่ายของซิทติ้งบุลและตกลงใจที่จะสู้ตายด้วยกันซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในประวัติศาสตร์ของคนพื้นเมืองเหล่านี้