เจ้าม้าคะนอง (1)

bison-hunting

เครซี่ ฮอร์ส (Crazy Horse) เจ้าม้าคะนอง

ดินแดนฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ในช่วงเวลาก่อนหน้าที่คนผิวขาวจะเข้าไปตั้งรกรากนั้น เป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองเผ่าใหญ่น้อย นับร้อยเผ่า พวกเขาถูกชาวผิวขาวเรียกรวม ๆ กันว่า ชนอเมริกันอินเดียน หรือ ชาวอินเดียนแดงชาวอินเดียนในอเมริกาเหนือแตกต่างกับชาวอินเดียนในอเมริกาใต้ พวกเขาไม่มีอารยธรรมที่ใหญ่โต เหมือนอย่างพวกอินคา หรือ แอ็ซเท็ค กลุ่มชนอินเดียนในอเมริกาเหนือดำรงชีวิตโดยอิงอยู่กับธรรมชาติ พวกเขาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ ทำกสิกรรมขนาดเล็ก และดำรงชีวิตอย่างสงบสุข จนกระทั่งคนผิวขาวเข้ามาถึง วิถีชีวิตอันสงบสุขของพวกเขาก็จบสิ้นลง อินเดียนหลายเผ่าต้องพบกับผู้รุกรานที่ละโมบและโหดร้าย

คนผิวขาวต้องการที่ดินของอินเดียนเพื่อทำกสิกรรมขนาดใหญ่ รวมทั้งต้องการขุดทองในเขตแดนของอินเดียน พวกเขาขับไล่และกวาดล้างเจ้าของถิ่นเดิมอย่างโหดเหี้ยม  ชาวอินเดียนหลายต่อหลายเผ่าลุกขึ้นสู้ แม้ว่าจะต้องพ่ายแพ้ แต่นักรบหลายคนก็ได้สร้างตำนานการต่อสู้จนกลายเป็นวีรกรรมที่แม้แต่ผู้รุกรานผิวขาวยังอดประทับใจไม่ได้ และหนึ่งในบรรดาวีรบุรุษผู้ปกป้องดินแดนที่เป็นที่น่าจดจำที่สุดก็คือ เจ้าม้าคะนอง หรือ เครซี่ ฮอร์ส (Crazy Horse)

เครซี่ ฮอร์ส หรือที่เรียกกันในภาษาอินเดียน ว่า ตาชันเก้  วิทโก (Tashunke witko) เกิดในปี ค.ศ.1845 ที่แม่น้ำรีพับลิกัน ผู้ที่เคยพบเห็นเขา กล่าวว่า  เครซี่ ฮอร์ส มีบุคลิกที่สง่างาม เข้มแข็งแต่ก็แฝงด้วยความอ่อนโยน มีความกล้าหาญและมีอุดมการณ์ที่สูงส่ง  เครซี่ ฮอร์สเป็นชาวเผ่าซู (Sioux) ซึ่งเป็นอินเดียนเผ่าที่ใหญ่ที่สุดและมีกำลังคนมากที่สุด

ในวัยเด็ก เขาได้รับการถ่ายทอดเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของชนเผ่าผ่านทางบิดามารดาของเขา เช่นเดียวกับเด็กอื่นๆในวัยเดียวกัน ทั้งนี้เป็นธรรมเนียมของเผ่า ที่บิดา มารดา จะเป็นผู้สั่งสอนเรื่องราวทุกอย่างให้แก่บุตรของตน ก่อนที่บุตรจะโตพอที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าได้  ในวัยเด็กนั้น  เครซี่ฮอร์สมีความคิดอ่านเกินกว่าเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกัน  มีอยู่ปีหนึ่งที่ฤดูหนาวยาวนานและรุนแรงกว่าปีก่อน ๆ อากาศที่ทารุณทำให้ฝูงควายไบซัน เหยื่อที่สำคัญของพวกซูส์ อพยพออกไปจากพื้นที่ ทำให้เกิดภาวะอาหารขาดแคลน บิดาของเครซี่ฮอร์สและนักล่าคนอื่น ๆ ของเผ่า ต้องฝ่าพายุหิมะเพื่ออกไปล่าสัตว์เกือบทุกวัน แต่ก็ต้องกลับมามือเปล่า จนในที่สุดวันหนึ่ง บิดาของเขาก็สามารถล่าละมั่งพรองฮอร์นมาได้สองตัว

เครซี่ ฮอร์ส ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียงห้าขวบ ขี่หลังลูกม้าของเขา เดินไปตามกระโจมต่าง ๆ พร้อมกับร้องเชิญชวนให้บรรดาชาวเผ่ามารับแบ่งปันเนื้อ  พวกผู้สูงอายุและผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต่างพากันมารับแบ่งปันเนื้อที่กระโจมของเครซี่ ฮอร์ส  แม่ของเขาได้แบ่งเนื้อให้คนเหล่านั้นจนหมด  โดยเหลือเนื้อเก็บไว้พอกินเพียงสองมื้อเท่านั้น

ในวันต่อมา เมื่ออาหารหมดลง เด็กชายรู้สึกหิวและร้องขออาหาร แต่แม่ของเขาบอกให้เขาเข้มแข็งและเตือนให้เขานึกถึงสิ่งที่ทำเมื่อวาน พร้อมกับกล่าวว่า ”ผู้ที่ได้รับเนื้อจากเจ้าเมื่อวานนี้ ได้กล่าวสรรเสริญนามของเจ้า พวกเขากล่าวยกย่องเจ้าในสิ่งที่เจ้าทำ ดังนั้นเจ้าต้องรักษาเกียรติยศนี้เอาไว้ ให้สมกับที่พวกเขายกย่อง”

เครซี่ ฮอร์ส รักม้ามาก บิดาของเขาได้มอบม้าให้เขาหนึ่งตัว เขามีความชำนาญในการบังคับม้าตั้งแต่อายุยังน้อยและเข้าร่วมการล่าควายป่าพร้อมบิดาของเขาและนักล่าคนอื่นๆ โดยเขาจะทำหน้าที่ดูแลฝูงม้า ในขณะที่พวกนายพรานไล่ต้อนฝูงควาย การล่าสัตว์ของชาวซูส์เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ความกล้าหาญมาก เนื่องจากในตอนนั้น ชาวซูส์ยังมีปืนใช้กันไม่กี่กระบอก อาวุธส่วนใหญ่ของพวกเขาคือ ธนูและลูกศร

ในสมัยนั้นพวกเด็กผู้ชายมักรออยู่ในทุ่งหลังการล่าควาย จนกระทั่งตะวันตกดิน เมื่อมีลูกควายที่พลัดหลงกับแม่วิ่ง ผ่านมา เด็กๆเหล่านี้จะสนุกกับการเล่นสมมติเป็นนายพรานและใช้เชือกคล้องลูกควายหรือไม่อย่างนั้นก็ต้อนมันเข้าไปในแคมป์   เครซี่ ฮอร์ส ซึ่งเป็นเด็กที่เล็กที่สุด  ได้ถูกเด็กที่โตกว่า ท้าทายให้แสดงความกล้าหาญ โดยการขี่หลังลูกควาย เขาจึงโดดขึ้นขี่หลังหลังลูกควายวัยรุ่นที่พลัดหลงมาและควบมันเหมือนกับม้าผ่านเนินเขาหลายลูก โดยมีเด็กอื่น ๆ ขี่ม้าวิ่งตาม  จนกระทั่งเจ้าควายป่าหมดแรง

เมื่ออายุได้สิบหกปี  เครซี่ฮอร์สเข้าร่วมในการทำสงครามกับเผ่าโครวส์ เครซี่ ฮอร์ส เข้าประจัญบานกับข้าศึกอย่างกล้าหาญ โดยในการรบครั้งนั้นเขาได้ช่วยนักรบซูส์คนหนึ่งไว้  และได้รับความชื่นชมจากวีรกรรมในครั้งนี้มาก หลายปีต่อมา ชนเผ่าซูได้ทำการรบกับพวกโชโชน  ซึ่งในศึกครั้งนั้น นักรบซูส์ต้องล่าถอย เพราะมีกำลังน้อยกว่า แต่เครซี่ ฮอร์สกับน้องชายของเขายืนหยัดสู้และสังหารข้าศึกไปหลายคนจนทำให้ข้าศึกไม่อาจรุกไล่ได้  ทันใดนั้นเองน้องชายของเขาก็ถูกสังหาร ด้วยความแค้น เครซี่ ฮอร์สนำกำลังนักรบส่วนหนึ่งรุกกลับอย่างุเดือดจนฝ่ายตรงข้ามแตกพ่าย และเครซี่ ฮอร์ส ได้สังหารน้องชายของหัวหน้าเผ่าศัตรูเป็นการแก้แค้น

เมื่อเครซี่ ฮอร์สมีอายุได้ 21 ปี เขาก็ได้กลายเป็นนักรบคนสำคัญของเผ่า ในตอนนั้น เผ่าซูส์เริ่มเผชิญกับปัญหาการเข้ามาของชนผิวขาว อันที่จริงแล้วตั้งแต่สมัยที่เครซี่ ฮอร์สยังเป็นเด็กนั้น ในดินแดนของพวกซูส์ก็มีคนผิวขาวเข้ามากันบ้างแล้ว ซึ่งโดยมากจะเป็นพวกทหารและพ่อค้าที่เข้ามาทำการค้ากับชนพื้นเมือง ในตอนนั้น ชนเผ่าซูส์ซึ่งส่วนใหญ่จะมีนิสัยที่ค่อนข้างซื่อสัตย์  ตรงไปตรงมา มักถูกพ่อค้าชาวผิวขาว ที่ละโมบ เอารัดเอาเปรียบเป็นประจำ และนั่นทำให้ชาวซูส์หลายคนไม่ไว้ใจคนผิวขาว

แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงแรกบรรดาหัวหน้าชาวซูส์กลุ่มต่าง ๆ ก็ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร หากคนผิวขาวจะอพยพเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ พวกเขาให้เหตุผลว่า แผ่นดินกว้างใหญ่มีที่เหลือเฟือที่จะแบ่งให้ผู้อพยพ หนำซ้ำพวกเขายังเคยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพบนเส้นทางสายโอเรกอนด้วย อย่างไรก็ตามบรรดาชาวอินเดียนต่างประประหลาดใจ  เมื่อคนขาวเข้ามาสร้างป้อมและส่งทหารมาประจำการในอาณาเขตของพวกเขา การบุกรุกพื้นที่เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การทำลายทรัพยากรอย่างไม่หยุดยั้งและขาดความเคารพต่อธรรมชาติผิดจากวิถีของชาวอินเดียนส่วนใหญ่สร้างความไม่พอใจและนำไปสู่การกระทบกระทั่งกับเจ้าของพื้นที่เดิม หัวหน้าส่วนใหญ่เริ่มไม่ยอมรับและมีการต่อต้านเกิดขึ้นในที่สุดพวกเขาลงความเห็นว่าต้องป้องกันแผ่นดินของเขาและจะโจมตีป้อมต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตของพวกเขา รวมทั้งขบวนของนักเดินทางผิวขาวด้วย

สำหรับเครซี่ ฮอร์ส แม้ไม่มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น แต่เขาก็เข้าร่วมประชุมในฐานะผู้นำของกลุ่มนักรบหนุ่ม  ในการโจมตีครั้งแรกที่ ป้อม ฟิลล์ เคียนีย์ อันเป็นผลมาจากนโยบายใหม่นั้น เขาได้รับมอบหมายให้โจมตีกลุ่มคนตัดไม้ เพื่อล่อให้พวกทหารที่อยู่ในป้อมออกมา ขณะที่กำลังนักรบหกร้อยคนหมอบรอดักโจมตีอยู่ ความสำเร็จของปฏิบัติการนี้ ทำให้เขาได้รับการเลื่อนขั้นจากหัวหน้าของเขา บรรดาหัวหน้าต่างยกย่องให้เขาเป็นนักรบที่กล้าหาญที่สุดของเผ่า

ตลอดเวลาสิบปีของการทำสงครามปกป้องดินแดน เครซี่ฮอร์สไม่เคยกล่าวสุนทรพจน์สำคัญๆเหมือนนักรบระดับหัวหน้าคนอื่น ๆ แม้ว่ากระโจมของเขาจะเป็นที่ชุมนุมของบรรดานักรบหนุ่มในเผ่าก็ตาม เนื่องจากเขาไม่ใช่นักพูด แต่เขาก็มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในที่ประชุม กับเหล่าหัวหน้าอาวุโสหลายครั้ง

สำหรับสถานการณ์ตอนนั้น  มีชาวผิวขาวจำนวนมากอพยพเข้าไปในฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา คนเหล่านี้มุ่งหวังชีวิตที่ดีกว่า ในช่วงแรก พวกนี้ยังไม่สร้างปัญหาให้กับชนพื้นเมืองเจ้าของถิ่นเดิม แต่เมื่อผู้อพยพมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับมีการค้นพบแหล่งทองคำในดินแดนภาคตะวันตก ทำให้รัฐบาลสหรัฐเริ่มส่งทหารเข้ามาและนำไปสู่การปะทะกับชนพื้นเมืองในรูปแบบของสงครามกองโจรหลายครั้ง

หลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1865  รัฐบาลสหรัฐได้หันมาให้ความสนใจกับนโยบายขยายอาณาเขตเข้าไปในภาคตะวันตกมากขึ้น ชนพื้นเมืองหลายเผ่าถูกกวาดล้าง ส่วนผู้ที่รอดชีวิตก็ถูกผลักดันออกจากแผ่นดินเดิมของตน ให้เข้าไปอยู่ในเขตสงวนที่ถูกจัดเอาไว้  สำหรับเผ่าซูส์นั้นก็มีการกระทบกระทั่งกับคนผิวขาวมาโดยตลอดดังที่ได้กล่าวไปแล้ว  แต่สถานการณ์ก็เข้าขั้นรุนแรงเมื่อมีการค้นพบแหล่งทองคำที่ เนินดำ (Black hill)  อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าซูส์  โดยชาวซูส์ทุกกลุ่มเชื่อกันว่า ที่นั่นเป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณบรรพบุรุษของพวกเขา

ทันทีที่ข่าวแพร่ออกไป ก็มีนักขุดทองจำนวนมากเดินทางเข้าไปที่นั่นและเกิดการปะทะกับนักรบเผ่าซูส์  รัฐบาลสหรัฐจึงส่งนายพล จอร์จ อาร์มสตรอง คัสเตอร์ พร้อมกำลังทหารจำนวนหนึ่งมาที่เนินดำ โดยอ้างว่าเพื่อมาคุ้มครองเนินดำจากการบุกรุกของนักขุดทอง

อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริง คัสเตอร์และทหารของเขากลับไม่ได้ทำการใดๆเพื่อที่จะผลักดันคนขาวออกไป ในทางตรงกันข้ามเขากลับรายงานถึงทองคำปริมาณมหาศาลที่ขุดพบที่เนินดำ ในที่สุดรัฐบาลสหรัฐจึงส่งตัวแทนมาเจรจากับชนเผ่าซู เพื่อขอซื้อเนินดำ เผ่าซู ซึ่งมีหัวหน้า ซิทติ้ง บูลล์ หรือ โยตันก้า กาตันก้า เป็นตัวแทนได้ปฏิเสธข้อเสนอของรัฐบาล  ซิทติ้งบูลล์ก้มลงหยิบดินขึ้นมาจำนวนหนึ่งและกล่าวกับตัวแทนรัฐบาลว่า “เพียงฝุ่นหยิบมือเดียว เราก็ไม่ขาย ที่นี่เป็นแผ่นดินของเรา หากคนขาวรุกรานเข้ามา เราก็จะสู้ ”

เมื่อทราบคำตอบ รัฐบาลสหรัฐ ก็ส่งกำลังทหารจำนวนมาก นำโดยนายพลครู้ด พร้อมทั้งนายพลคัสเตอร์และกรมทหารม้าที่7 อันได้ชื่อว่าเป็นหน่วยรบที่ดีที่สุดของกองทัพบกสหรัฐในเวลานั้น เข้าโจมตีพวกซูส์ทันที  ในปี ค.ศ. 1875  กองทหารของนายพลครู้ด หรือ ที่ชาวอินเดียนเรียกว่า จิ้งจอกสีเทาได้เข้ากวาดล้างค่ายอินเดียนต่างๆ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำพาวเดอร์ พวกเขาเผากระโจมและสังหารเด็กและผู้หญิงจำนวนมาก  พวกที่เหลือหนีการไล่ล่าขึ้นไปรวมตัวกันทางเหนือกับ ซิทติ้ง บูลล์   เครซี่ ฮอร์ส และกัลล์ มือขวาของซิทติ้ง บูลล์

หลังจากนั้น เครซี่ ฮอร์ส และกัลล์ได้ทำการดักโจมตีกำลังของนายพลครู้ด ที่ไล่ตามมา  เครซี่ ฮอร์ส ใช้กลยุทธ์ล่อให้ทหารข้าศึกไล่ตามและแยกกำลังพวกนั้นเป็นส่วนๆ เขาสั่งให้นักรบควบม้าตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เป็นเป้านิ่ง หลังจากกำลังทหารที่ไล่ตามแยกกำลังกัน เครซี่ ฮอร์ส ก็รวมกำลังฝ่ายตนเข้าบดขยี้ข้าศึกทีละส่วนจนแตกพ่ายไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

คุณอาจจะใช้ป้ายกำกับและคุณสมบัติHTML: <a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <strike> <strong>